หน้าเว็บ

ศาลเจ้าพ่อเสือ จังหวัดอุทัยธานี

ศาลเจ้าพ่อเสือ จังหวัดอุทัยธานี
ต.หนองไผ่แบน อ.เมือง จ.อุทัยธานี

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

งานไหว้ครูปู่เสือ 2554

ตำหนักปู่เสือและคณปติเทพ เมืองอุทัยธานี

ได้น้อมประนมกรกราบเรียนเชิญ/อัญเชิญ
ท้าวทรงองค์เทพ พระญาณเทพทุกพระองค์และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ร่วมอนุโมทนา
พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ตำหนักปู่เสือ
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ ที่ผ่านมา
ณ ปรัมพิธี เลขที่ ๒/๕ หมู่ ๓ ตำบลหนองไผ่แบน อ.เมือง จ.อุทัยธานี

ตามกำหนดการ ดังนี้
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เวลา ๐๐.๐๑ น (เที่ยงคืนวันพุธ) พิธีกวนข้าวมธุปายาสตำหรับนางสุชาดาเพื่อถวายพระพุทธเจ้า, สวดพุทธคุณ ๑๐๘ จบ, ถือศีลตลอดทั้งคืน
เวลา ๐๕.๐๐ น พิธีกวนขนมลัดดู (โมฑก) เพื่อถวายพระคณปติเทพ
เวลา ๐๗.๐๐ น พระสงฆ์ ๙ รูปเจริญพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเช้า
เวลา ๐๙.๐๙ น พิธีไหว้บรมครูเพชรฉลูกัญประจำโรงงาน
******************************
เวลา ๑๒.๐๙ น เหล่าท้าวทรงสักการะพระภูมิ พระพรหม เบิกแม่ธรณีสู่โรงพิธี
เวลา ๑๒.๓๙ น จุดธูปเทียน และเทียนชัย ถวายเครื่องสักการะ
พิธีขอขมาครูอาจารย์ (ผู้เป็นอาจารย์ของร่าง)
อ่านโองการเทพชุมนุม บรรเลงหน้าพาทย์
ท้าวทรงทั่วสารทิศประทับทรง ร่ายรำน้อมถวายบรูพาจารย์
พิธีครอบเศียรครู รับขันธ์ครู
เวลา ๑๗.๐๐ น พิธีอัญเชิญพระขวัญแม่บายศรี
พิธีเบิกบายศรี
เวลา ๑๙.๐๐ น ส่งองค์เทพ แผ่กุศลอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี

จึงขอน้อมกราบเรียนเชิญมา ณ โอกาสนี้


พิธีเบิกทวาร ถอนอาถรรพ์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย วันพุธที่ 11 มิ.ย. เวลาเที่ยงคืน

โรงพระพิธี ออกแบบโดยเจ้าแม่ทิพย์เกสร เชื้อสายเจ้าแห่งอาณาจักรล้านนา

พิธีทำบุญ พระสงฆ์ 9 รูปเจริญพุทธมนต์ในช่วงเช้า วันที่ 12 มิถุนายน 2554




บรรเลง สะล้อ ซอ ซึง แบบล้านนาตลอดงาน




พระสุวรรณพลับพลา


วงมโหรี ปีพาทย์ โดยคณะศิษย์จากจังหวัดนครสวรรค์บรรเลงตลอดงาน






เจ้าภาพต้อนรับคณะท้าวทรงจากจังหวัดต่างๆ มาร่วมงาน










ท้าวทรงพระแม่ธรณี ประทับทรงเบิกพระแม่ธรณีสู่โรงพิธี



นาคราชเสด็จอำนวยพรชัยก่อนเริ่มพิธีไหว้ครู




พราหมณ์ประจำตำหนัก ดีกรีจากประเทศอินเดียอ่านโองการเทพชุมนุมฉบับภาษาไทย




ท้างทรงพระแม่อุมา ประทับทรงอำนวยพรแก่ผู้ร่วมงาน




ปู่สิทธิชัย สหธรรมิกแห่งตำหนักสุรินทร และปู่ภุชงค์นาคราชแห่งตำหนักเนินตูม




ท้าวทรงหนุมานประทับทรง เข้ารับของถวายจากปู่เสือ




ท้างทรงพระแม่ลักษมี เตรียมรำเบิกบายศรี


พิธีเบิกบายศรี



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อยากรู้เรื่องตั้งศาล

การครอบเศียร รับขันครู

ภาพที่ได้นำมาเผยแพร่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของพิธีมอบขันครูแก่ศิษย์ปู่เสือจอม (เจ้าพ่อเสือ อุทัยธานี)
ขั้นตอนการรับขันครูตามธรรมเบียนมแบบปฏิบัติของตำหนักปู่เสือและคณปติเทพนั้น เริ่มจากการที่ผู้ที่จะรับขันต้องจุดเทียนน้ำมนต์ 5 เล่มถวายแก่ปู่เสือจอมเพื่อทำน้ำทิพย์ล้างสิ่งไม่เป็นมงคลออกจากตัว และรับน้ำทิพย์ไปอาบตั้งแต่หัวลงมา จากนั้นแต่งกายด้วยชุดขาวหรือหากเป็นสายแขกจะแต่งตัวสีสันสดใสหรือสีตมองค์เทพ จากนั้นจะทำการอบรมสั่งสอนก่อนที่จะรับ โดยผู้รับต้องตอบให้ได้ว่ารับขันเพื่ออะไร ขันธ์ 5 คืออะไร และขันธ์ 5 ประกอบด้วยอาไรบ้าง ผู้รับต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนว่า สิ่งที่กำลังจะรับนั้นเป็นการสมมุติแทนขัน 5 ซึ่งคือคือเรา อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กล่าวคือ รูปขันธ์ คือสิ่งที่ปรากฏได้ทางตาเท่านั้นไม่สามารถปรากฎด้วยอายตนะอื่นใด เวทนาขันธ์ คือสิ่งที่รับรู้อารมณ์ สัญญาขันธ์คือ ความจำได้ หมายรู้ สังขารขันธ์คือกายสังขารที่กำลังดำรงอยู่ปรากฏทางกายสัมผัส และขันธ์สุดท้าย วิญญาณขันธ์ คือจิตหรือสภาพรู้ของเรานั้นเอง ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นขันธ์ 5 ที่กำลังจะรับไปบูชา ทั้งๆที่ ขันธ์ 5 ที่แท้จริงอยู่ในตัวเรา  ซึ่งการที่คนมีเทพต้องรับขันธ์ 5 นั่นไม่ได้หมายความเป้นเป็นผู้วิเศษกว่าบุคคลอื่นแต่อย่างๆ เพราะส่วนมากคนโง่มักคิดกันเช่นนั้น ว่าฉันมีเทพ ฉันมีขันธ์ ฉันขันธ์เยอะ ขันธ์ 9 ขันธ์ 16 ขันธ์ 32 มันเอาตัวเลขมาอวดกันด้วยความโง่เสียแท้ ที่ต้องรับขันธ์ก็ให้รู้ว่ามนุษย์มันก็อีแค่ ขันธ์ 5 เหมือนกันทุกคนนั่นเอง ขี้เหม็น ตดเหม็นเหมือนกันหมด ไม่มีใครวิเศษกว่าใครทั้งนั้น นี่คือเหตุผลที่แท้จริงของการรับขันธ์ คนมีปัญญาเขาคิดกันเช่นนี้
ก่อนรับขันปู่เสือจะเชิญองค์ประจำลงมาประทับก่อนและถามองค์ว่า "พอพระทัยไหม" ต้องการอาไรอีกไหม ต้องการให้ร่างของท่านทำอะไรอีกบ้าง ถ้าสายไทยก็จะพูดจาเข้าใจเป็นภาษาไทย บางคนเป็นสายแขกจะพูดภาษาเทพปู่เสือก็จะใช้ภาษาเทพในการสื่อการและแปรให้ลูกศิษย์ฟังอีกครั้งหนึ่งว่าองค์สื่ออะไรบ้าง จากนั้นจะทำข้อตกลงกับองค์นั้นๆ ว่า ขอให้พระองค์ท่านลงเป็นที่เป็นทาง ลงในเคหสถานบ้านเรือน อย่าลงประทับตามเบี้ยไบ้รายทาง หรือมาผ่านทางนิมิตของร่างก็ได้
หลังจากที่ลูกศิษย์รับขันแล้วคำสอนที่ย้ำแล้วย้ำอีกของปู่เสือคือ ท่านจะถามว่ารับขันแล้วนั่งไหว้ขันธ์ ไหว้ใบตองจะรวยได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย ท่านจะสอนคาถารวยให้ นั่นคือ ทำ ทำ ทำ ทำ ถ้าไม่ทำแล้วจะรวยได้อย่างไร รับขันไปแล้วต้องทำ จึงจะรวยได้ องค์เป็นแค่สิ่งที่ให้ดีขึ้นเท่านั้น ให้ตั้งใจทำงานแล้วที่เหลือองค์จะช่วยเอง อยากได้อะไรให้ขอแต่ต้องทำควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาขออย่างเดียว

ศิษย์ทุกคนต้องอาบน้ำทิพย์ก่อนรับขันครู เพื่อสร้างมลทินที่ติดตัวมา หรือได้ทำประมาทพลาดพลั้งไปในอดีต



ปู่เสือจะเสกน้ำทิพย์ด้วยการหยุดเทียนน้ำมนต์ด้วยคาถาจีน ลงบนถังน้ำ และจะหยดน้ำตาเทียนร้อนๆ ลงบนมือเพื่ออ่านอดีตของผู้รับขันธ์ ซึ่งผู้รับขันธ์รายนี้ในมือของปู่ปรากฏเป็นเด็กผู้ชายร้องไห้ขอชีวิต ด้วยเหตุว่ากำลังจะตาย ซึ่งตรงกับอดีตของผู้รับขันธ์ที่เคยขัยรถชนเด็กเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนซึ่งเหตุการณ์ไม่เคยมีใครรุ้เลยนอกจากตัวเขาเอง ซึ่งเขากล่าว่า "หากปู่เสือไม่พูดมา ผมก็จำไม่ได้แล้ว" ปู่เสือจึงแนะนำให้ทำบุญอุทิศไปให้เขาและขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน 





 
ปู่เสือทำการเจิมหน้าผากเพื่อเป็นมงคลหลังจากน้ำอาบน้ำมาเรียบร้อย จากนั้นเสกแผ่นทองคำเปลวปิดที่หน้าผาก













ตำหนักลูกศิษย์ รับขันองค์พ่อแก่ และนาคสิทธิ์ จ.นครสวรรค์
หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าคนที่รับขันธ์ไปนั้นต้องเป็นร่างทรงต้องจัดพิธีไหว้ครูทุกปี เสียเงินเสียทอง ซึ่งไม่ใช่ความจำเป็นเอาเสียเลย บางคนรับขันธ์ไปอวดกันว่าตัวฉันมีองค์นั้นองค์นี้ เป็นร่างนั้นร่างนี้โดยเฉพาะเทพเจ้าสายฮินดูมีกลุ่มคนที่ไม่รู้จริงนำไปแอบอ้างเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการใช้องค์เทพเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพของตนเอง บางครั้งผมได้ฟังมาแทบน้ำตาไหลในฐานะที่เป็นฮินดูสายตรงจากอินเดีย เมื่อองค์เทพที่อยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมถูกนำมาอ้างอิทธิฤทธิ์นานาประการ โดยเฉพาะการให้หวยที่เป็นตัวหายนะของคนไทยที่ลุ่มหลงในหลายชนชั้นของสังคม ผมยืนยันเลยว่าองค์เทพสายฮินดูทุกพระองค์ไม่มีการมาลงทรงแล้วดูดวง ทำนายทายทักเด็ดขาด แล้วไม่โปรดการให้หวยแน่นอน และพระองค์ท่านไม่รู้จักคำว่าหวยแน่นอนเพราะหวยมันเป็นอบายมุขเป็นหนทางแห่งความเสื่อมของคนไทย(ซึ่งก๊อปปี้มาจากจีน) ที่เริ่มแพร่หลายในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี่เอง ล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ของเราเอามาจากเมืองจีนและทำให้คนติดกันงอมแงมจนถึงทุกวันนี้ แต่การลงมาของพระองค์ท่านทั้งหลายนั้นสามารถลงได้ในรูปแบบการพูดภาษาเทพ หรือลงมาผ่านเพียงแค่แสดงอาการเสียเท่านั้น มากสุดคือการประทานพรในท่าประจำปางซึ่งจะมีเพียงไม่กี่ท่าเท่านั้น แต่ถ้าหากจะมาทำเป็นการมาฟ้อนรำ เต้นบ้าเต้นบออะไรก็แล้วแต่นั้น ท่านพึงระลึกได้เองด้วยสติปัญญาของท่านเลยว่า "ของปลอม มีการอุปโลกปรุงแต่งสภาวะจิตวาดฝันเพ้อเจ้อ" หรือไม่ก็พวกผีสาง ดวงวิญญาณผีไร้ญาติมาผ่านแล้วอาจจะปลอมเป็นเทพสายฮินดูให้ดูยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ส่วนมากที่จะมาปลอมเป็นเทพก็จะเป็นพวกอสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง ร่างก็อาจจะคิดว่าเป็นองค์เทพจริง ฉะนั้นท่านที่เป็นร่างหรือที่ผมเรียกว่าพระญาณเทพสายฮินดูนั้น ท่านลองสำรวจตัวเองเสียใหม่ว่าท่านเป็นเทพจริง หรือเทพปลอม ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะโดนพวกสัมภเวสี ผีเร่ร่อนหลอกเอาแล้วท่านจะซึ้งถึงคำว่า "ผีหลอก"อย่างแท้จริง
ตัวอย่างร่างทรงปลอมมีเรื่องน่าขำ ผมจะเล่าให้ท่านฟัง เหนตการเกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2554 มีร่างทรงท่านหนึ่งที่อ้างว่าเป็นร่างพ่อศิวะ แม่อุมา ในตลาดเกษตร เมืองอุทัยธานีร ที่ผมและทางตพหนักรู้จักดีในนามเทพใบ้หวย ที่ชาวบ้าน ร้านตลาดเล่าลือกันว่าถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แต่ที่ทนฟังไม่ได้คือ พระศิวะลงมาทำน้ำมนต์หวนทุกงวด ซึ่งชาวบ้านทั่งไปต่างเชื่อจนโงหัวไม่ขึ้น มาได้แต่เห็นความเสื่อมของศาสนาของผม ไม่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะมาถึงตำหนักซึ่งเขาคิดว่าตำหนักของผมเป็นตำหนักเกิดใหม่อายุปีเดียว แต่เขาไม่รุ้เลยว่าเป็นศูนย์รวมคนเก่งนั้นนั้น ทั้งเทพทั้งคน ไม่งั้นไม่ดังอย่างทุกวันนี้หรอกครับ โดยการมาเชิญร่างทรงใหม่ไปร่วมงานไหว้ครูเขาเชิญผมกับร่างปู่เสือ พวกเราบอกว่าต้องไปจุดธูปเชิญปู่เอง จึงพาเข้าไปในตำหนักทันใดปู่ก็ลงมาต้อนรับร่างนั้น เขาก็มีอาการจะลงตามปู่เสือทันที คนที่ตามาก็พูดว่า นี่แหละพ่อศิวะมาแล้ว "ผมหัวเราะในใจ ของปลอมชัดๆ" เขาทำทีพูดภาษาแขกรัวเร็วๆ ซึ่งคุยกับเสือเสือไม่รุ้เรื่อง ทั้งๆที่ปู่เสือคุยภาษาเทพ ร่างนั้นคุยมาคุยกับผม ซึ่งผมก็ทนไม่ได้กับความมั่วซั่วของเขาแล้วจึงเกิดโทสะเปล่งเสียงดังเป็นภาษาอันเดียทันที ซึ่งร่างปู่เสือบอกทีหลังว่า คณปติลงมาผ่านช่วงนั้นซึ่งพระองค์ท่านอาจทนไม่ได้ที่เอาพ่อของพระองค์มาแอบอ้าง แต่ผมก็ยังเชื่อว่าผมพูดออกไปด้วยตัวเอง "อาปกอนแฮ อาปานามเกียแฮ" (ท่านเป็นใคร ท่านชื่ออะไร) ผมถามหลายประโยคมากพูดภาษาแขกรัวเช่นกัน  บุคคลที่อ้างว่าเป็นร่างพ่อศิวะ ตอบไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว นี่หรือ มาหลอกลวงว่าเป็นร่างศิวมหาเทพ คำถามภาษาแขกแค่นี้ตอบไม่ใด้  ปู่เสือพยายามส่งสัญญาณให้ผมหยุดฉีกหน้าเขา แต่ด้วยวิญญาณของการปกป้ององค์เทพอันเป็นที่รัก ทำให้ผมพูดภาษาอินเดียแบบไม่ต้องแปลไทยก่อนเลย พูดออกมาโดยอัตโนมัต เหตการณ์วันนั้นทำให้หลายคนรู้ได้ชัดเชนว่า อันไหนของจริงอันไหนของปลอม ตอนแรกคงคิดว่ามาแสดงบารมีมหาเทพ กลับกลายเป็นต้องชื่นชมบารมีของตำหนักที่เกิดใหม่ไม่กี่วันแทน



\


รับขันครู องค์พ่อ ร.5 องค์ประทับ ขณะครอบขันครู



พระแม่อุมาเทวี ประทับท้าวทรงขณะรับขันครู ในงานไหว้ครูปู่เสือ 54

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตั้งศาลและปราบผีโลง

ทางตำหนักได้ทำการย้ายศาลพระภูมิก่อนที่จะปราบผีโลง ซึ่งปู่เสือจอมได้ร่วมกับสหายที่เชี่ยวชาญเรื่องผี สางโดยตรง คือ ปู่สิทธิชัย แห่งเกาะเทโพ จังหวัดอุทัยธานี อันเป็นสหธรรมมิกกับปู่เสือจอม ถือได้ว่าเป็นที่พิธีที่รวมร่างทรงสายไทยถึงสองร่างในการทำพิธี และร่างพระญาณองค์คณปติ ทำหน้าที่เป็นพราหมณ์อ่านโองการเทพชุมนุม ก่อนเริ่มพิธี การย้ายศาลเป็นไปด้วยความยากลำบากตามการทำนายของปู่เสือจอมว่าผีโลงต้องไม่ยอมให้ย้ายแน่นอน ให้บายศรีล้มบ้าง เหล้าขาวที่สังเวยตายายล้ม น้ำส้ม น้ำแดงระเนระนาดตามพื้น แต่พิธีก็ต้องดำเนินต่อไปจนพราหมณ์อ่านโอการเสร็จ องค์เทพทั้งหลายมาแต่พระภูมิขึ้นศาลไม่ได้ เนื่องจากผีไม่ยอม จนต้องให้ปู่สิทธิชัย แห่งเกาะเทโพ เจรจา ท่านได้ชักดาลอาคมของเจ้าพ่อขุนตาลออกมา ร่ายคาถาเจรจาจาเหล่าผีทั้งหลายยอยให้พระภูมิขึ้นศาล เจ้าภาพโห้ร้อง พราหมณ์โหมกลอง สังข์ โปรยดอกไม้ และถวายเครื่องสังเวย


















หลังจากตั้งศาลแล้วปู่เสือจอม อันเป็นเจ้าพิธีก็ได้มอบหมายให้สหายผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ผี ทำการปราบผีโลงแตกเป็นลำดับต่อไป ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ต้องทำน้ำมนต์ถึง 3 โอ่งเพื่อสาดไล่ให้ทั่วบ้าน โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านเสียก่อน ซึ่งยินยอมให้ขับไล่ผีออกไปที่อื่น













หลังจากทำน้ำมนต์เสร็จ คุณตาที่ถูกผีโลงสิงอยู่ครึงหนึ่งนั้น ก็ออกมาด้วยแววาที่ไม่ใช่คนทั่วไป ปู่สิทธิชัยได้เข้าไปเจรจาขอให้ผีโลงออกไปจากบ้าน คุณตายอมกินน้ำมนต์สามอึกและอาเจียรเอาสิ่งชั่วร้ายออกมา ทำให้เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น พูดจาตอบสนองได้บ้าง แต่ยังไม่ปกติเพราะร่างกายคุณตาสิ่งชั่วร้ายกินมาเป็นเวลานานแล้ว




ขั้นตอนสุดท้ายคือให้ปุ่ลอแซะจากดอยในเชียงใหม่ ประทับร่างปุ่สิทธิชัย ทำการเชิญผีโลงไว้ในสะตวง หรือกระทง ซึ่งเป็นประเพณีทางเหนือ เพื่อจะนำไปลอยคงคา ท่านได้นำหม้อใส่ในกระทงให้เจ้าภาพนำไปลอยแม่น้ำเจ้าพระยา